Monday, June 25, 2012

การวางconceptภาพ กับ ปฏิทิน

การถ่ายภาพ กับ ปฏิทิน มันเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ผมคงไม่พูดถึงเทคนิคการถ่ายภาพสาวลงปฏิทินในที่นี้ นะครับ เพราะคงหาได้ไม่ยาก แต่ผมอยากจะพูดถึงแนวคิดการตีโจทย์ การถ่าย เพื่อนำเสนอต่อลูกค้า

Ok ในทุกวันนี้ถ้าเป็นบริษัทใหญ่ๆ คำว่า CSR กำลังมาแรง csr คืออะไร มันมาจาก Corporate social responsibility หรือ โครงการความรับผิชอบต่อสังคมของบริษัท แล้วบังเอิญบริษัทที่ว่าจ้างเนี้ย ดันต้องการปฎิทิน sexy สำหรับปีใหม่ แล้วต้องเป็น csr ด้วย เอาล่ะซิ ปฏิทินsexy มันช่างขัดต่อวัฒนธรรมไทยยิ่งนัก จะให้มันรับผิดชอบต่อสังคมได้อย่างไร... นอกจาก creative จะหัวแตกแล้ว ไปถามช่างภาพ ก็โดนด่ามาอีกหลายชุด ยิ่ง marketting ที่สนใจแต่ยอดขาย ก็ดันยุว่า ถ้าเอาดาราใส่ชุดธรรมดามาถ่ายคนจะเฉยๆ ถ้าไม่โป้ยอดขายจะตก เรตติ้งจะต่ำ มันต้องวาบหวิวให้คนอยากได้. ทีนี้ผมมีกรณีศึกษาตัวอย่างมาให้ดูกัน


ในความคิดผมเนี้ยะ คิดว่าถ้ามีโจทย์มาแบบนี้ myanmar beer ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด เพราะคำว่า sexy ไม่จำเป็นต้องเปลือย (ถ้าโจทย์ระบุว่าถ่าย nude นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง) นางแบบสามารถถ่ายทอดความsexy ผ่านเรือนร่างได้โดยใส่เสื้อผ้ามิดชิด ก็ตอบในด้าน csr ด้วย แต่ในที่นี้เราจะเน้นนำ้หนักไปที่ความ sexy มากกว่า...
ที่นี้ ถ้าเกิดเราจะเน้น csr เป็นหลักล่ะ เราต้องแปลค่าความ sexy ให้เป็นความสวยงาม อันนี้คงเห็นคุ้นตากันอยู่กับ บรั่นดีไทย ที่ถ่ายทอดงานออกมาได้งดงามมาก...(แต่กลุ่มตลาดจะเป็นชนชั้นคนมีอันจะกิน)
แถมอีกเจ้าคือ เบยลาว (BeerLao) คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องเปลือย นุ่งน้อยห่มน้อยก็ขายได้ ขายได้ดีด้วย.....
อ่ะเรามาแถมท้ายกันด้วย แนวที่ไม่ค่อยจะถูกใจเจ้เบียบ และกระทรวงวัฒนธรรมกัน แต่ถูกใจขานักดื่มทั้งหลาย

ถ้าถามว่ามันสวยมั้ย ผมตอบว่าสวยน่ะ ถ้าถามว่าชอบมั้ย แบบนี้ผมก็ชอบน่ะ อยู่ในระดับที่เรารับได้ แหม่...ผู้ชายที่ไหนจะไม่ชอบบ้างล่ะ แต่ในที่นี้ ผมแค่มาพูดถึงแนวคิดที่ว่า ถ้า CSR มาเจอกับ ความ sexy ซึ่งมันขัดแย้งกันในสังคมของเรา คุณจะแก้ไขปัญหาอย่างไร และนี้คือคำตอบที่พบพอจะตอบได้ ณ เวลานี้ ขอบคุณที่ติดตามครับ

Wednesday, June 20, 2012

มอง IT Thai ในมุมนักออกแบบ


จะว่าไปเมืองไทยกำลัง จะเข้าสู่การร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Econicmic Comunity) วงการ it ก็เป็นหนึ่งในกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการเกษตรกรรม...​

แน่นอนว่าประเทศเราในวงการ it ก็ยังคงเป็นประเทศโลกที่สาม ในสายตาต่างชาติ เลือกที่จะมาตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนในไทย เอาไปตีตราต่างชาติ แล้วก็กลับมาขายคนไทย ด้วยราคาที่ตลาดโลกกำหนดมาแล้ว

หลายๆคนเคยบ่นกับผมเรื่องนี้ว่า "ต่างชาติมันเอาวัตถุดิบเมืองไทยไปราคาถูก เอาไปติดยี่ห้อแล้ว กลับมาขายในราคาแพง" ผมเลยชี้แจงกับเพื่อนแบบอุปมาอุปมัยไปว่า เวลาเราจะสร้างบ้านสักหลัง คนคนเดียวคงทำไม่สำเร็จ เมืองไทยก็เป็นหนึ่งในผู้สร้างบ้าน แต่เราเป็นเหมือนกรรมกร ค่าแรงขั้นต่ำ เราไม่มีสถาปนิิกเป็นของตัวเอง เราไม่มีวิศวกรเป็นของตัวเอง ประเทศเรายังด้อยเรื่องการสนับสนุนด้านการออกแบบ ทั้งๆที่คนของเราแข็งแกร่งมาก แต่เราใช้คนอย่าไม่รู้คุณค่า สักเท่าไหร่

ผมเคยคุยกับวงการธุรกิจ it ในต่างประเทศมามากพอสมควร แต่เขากลับมองเมืองไทยว่า เมืองไทยมีทรัพยากรบุคคลด้านการออกแบบที่ดีมาก แต่ทำไมเมืองไทยไปให้ค่าความสำคัญกับโปรแกรมเมอร์มากเกินเหตุ...(หมายถึงเน้นไปทางรับจ้างผลิตมากกว่าทางคิดที่จะออกแบบเอง) ทั้งๆที่เราควรจะพลักดันนักออกแบบด้วย... ด้วยเหตุนี้ต่างชาติหลายบริษัทได้เล็งเห็น หลายท่านบอกกับผมว่า นักออกแบบเมืองไทยเก่งมาก เขาจึงต้องมาเปิดแผนกออกแบบที่ไทย แล้วใช้ โปรแกรมเมอร์ต่างชาติ (แต่รายได้เข้าบริษัทต่างชาติ) "ถ้าว่ากันตามจริง โปรแกรมเมอร์เมืองไทย โดยรวมยังสู้ต่างประเทศไม่ได้หรอก... ถึงจะมีก็น้อยและค่าตัวแพงเกินไป ถ้าเทียบกันแล้วเรายอมจ้าโปรแกรมเมอร์จากอินเดียที่ได้ประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ค่าใช้จ่ายหายไปเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว" ;CEO singapore digital media

(พูดแบบนี้ ท่านโปรแกรมเมอร์ทั้งหลายอย่าเพิ่งน้อยใจ เดี๋ยวจะมี drama ตามมาอีก) 

ผมได้ลองศึกษาดูประเทศเพื่อนบ้างต่างๆ ผมพบว่าประเทศไต้หวันก็เริ่มมาจากการเป็นกรรมกร it นี้แหละรับจ้างผลิต จนปัจจุบันเค้าได้เน้นเรื่องการออกแบบ มากขึ้นจนสินค้า brand สินค้า taiwan เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก....คือ เขาผลิตเองได้ ตั้งแต่ชิ้นส่วน วิศวกรรมที่ดี และมีการออกแบบที่ดี การตลาดที่ดี เชื่อเถอะว่าเวลาคนซื้อสินค้าต่างๆ เว้บ!! แรกที่คนจะตัดสินใจคือรูปลักษณ์ภายนอก แล้วค่อยมาดูภายใน....​
เวลาคุณซื้อมือถือ สิ่งแรกที่จะดึงดูดสายตาคนได้เลย คือ "สวย" ข้อต่อมาคือ ฟังก์ชั่นการใช้งาน
แต่การทำงานในเมืองไทยเท่าที่ผมประสบมาก็คือ เขาใช้โปรแกรมเมอร์ เป็นคนออกแบบ ซึ่งออกมาก็ถูลู่ถูกัง หาความสวยไม่ได้เลย ไอที่ดูดีก็เหมือนจะไปลอกเขามา ไปเลียนแบบเขามา ซึ่งไม่มีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองเท่าไหร่...น้อยบริษัท ที่จะมีนักออกแบบดีๆ ทำงาน ที่น่าน้อยใจที่รายได้นักออกแบบเมืองไทยต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ในขณะที่โปรแกรมเมอร์เงินเดือนสูงลิ่ว.... และน้อยบริษัท ที่จะมีนักออกแบบทำงานได้เข้าขากับ โปรแกรมเมอร์….. ยกตัวอย่างเช่น

เวลามีโปรเจค ออกแบบ website หรืออะไรต่างๆ แน่นอนว่าลูกค้าที่เปิดเว็บไซต์ดูนั้น เขาไม่มีทางเห็น code ที่คุณเขียนว่าซับซ้อนเพียงไหน... เขาจะเห็นเพียงแค่หน้าตาภายนอก ว่ามันสวยดึงดูดใจ ใช้งานง่าย เวลานักออกแบบได้สร้างสรรค์สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพื่อที่จะดึงดูดสายตาหรือ impact คนดูนั้น เวลาสรุปงานเราจะพบ programmer หลายท่านบอกว่า 

"โอ้ย...ยากไม่ทำหรอก เปลี่ยนนั้นได้มั้ย ทำนี้ได้มั้ย"  (มันอาจจะไม่ได้เป็นทุกที่ แต่ส่วนใหญ่จะเจอ) น้อยที่นักจะเจอแบบว่าโอ้ มันท้าทายส่งมาเลยผมชอบ... ไม่ใช่วิสัยของโปรแกรมเมอร์ไทย ที่ผมรู้จักแน่ๆ ทีนี้เราต้องรักษาสมดุลระหว่างงานออกแบบ กับส่วนโปรแกรมให้ได้ ให้มันไปในทางเดียวกันได้

ที่ผมกล่าวมาผมไม่ได้ว่าจะน้อยใจ หรือลำเอียงเพราะผมเป็นนักออกแบบแต่อย่างใด …. เพียงแต่ว่า การเปิดเสรีอาเซียน เราจะต้องแข่งกับประเทศที่พร้อมกว่าในหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านภาษา หากเราไม่พัฒนาตัวเอง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เราจะตกไปอยู่รั้งท้าย และตกที่นั่งลำบาก
ซึ่ง ณ ปัจจุบันเราแยก IT ว่าเป็นเรื่องของ วิศวกรรม และเทคโนโลยี แต่จริงๆแล้ว IT หรือ INFORMATION TECHNOLOGY มันอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา มันคือผลิตภัณฑ์ที่มีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งถ้าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับสุนทรียะและการออกแบบที่จะใส่ลงไป มันก็คล้ายๆกับการกินข้าวเปล่า ซึ่งแทบไม่มีรสชาดอะไรเลย...และท้ายนี้ของให้ใช้ technology ในทางสร้างสรรค์ครับ

เอากระเป๋ากล้องสวยๆมาฝาก...


Wednesday, May 2, 2012

WACOM INKLING

ต่อไปนี้เวลาเราวาด idea อะไรลงสมุดจด ไม่ต้องเสียเวลา ทำใหม่หรือ scan แล้ว เพราะเจ้า ...Wacom Iinking นวัตกรรมใหม่ล่าสุดจาก WACOM 
เอาเป็นว่าครั้งแรกที่ผมเห็นตัวนี้ ผมแอบอุทานออกมาว่า "Shut up and take my money" 
คือมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างตอบโจทย์คนที่ชอบออกไปคิดงานข้างนอก office แล้วพกสมุดโน้ตไปอันนึงคิดอะไรออกก็วาดลงบนสมุด... คล้ายๆเหมือนกับ Digital white board ที่บันทึกทุกสิ่งที่เราเขียนลงไปบนสมุดแต่สิ่งที่แตกต่างมันก็คือ 
  • เราจะได้ไฟล์เป็น .PSD ที่แยกLayer ได้ 
แค่เพียงเสียบเจ้า Inking ไว้บนสมุดบันทึกของคุณ แล้ววาดๆๆ เขียนๆๆ และปล่อยจิตนาการของคุณ ก็พอ.... หลังจากนั้น ก็นำไปต่อกับคอมพิวเตอร์ ด้วยสาย USB ง่ายดายเลยทีเดียว


จริงๆก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เพราะวิดีโอมันตอบทุกอย่างอยู่แล้ว...แต่ก็ผมอยากจะพูด(555) 
เผื่อไว้สำหรับคนที่ไม่อยากจะเปิดวิดีโอ... 
ตัวนี้เนี้ย ตอนนี้มีวางจำหน่ายเฉพาะใน อเมริกา ราคา $199 ก็ประมาณ 6,000 บาท 
อาจจะต้องรออีกสักพักใหญ่ๆกว่าจะวางขายอย่างเป็นทางการทั่วโลก

ยังไงก็ลองเชิญชมวิดีโอกันก่อนเน้อ 


Saturday, April 28, 2012

Scratch กรรม


เห็นเดี๋ยวนี้มีออกกันมาเยอะเหลือเกิน...หนังสือแนวประเภท สแกนกรรม สเก็ตกรรม copy cut & paste กรรม สัมผัสต่างๆนานา.... วันนี้เลยขอรับหน้าที่อาสาเป็น DJ มา scratch กรรม ให้ท่านทั้งหลายได้ฟังกัน.....

มันก็นานาจิตตัง... โปรดใช้วิจารณญาณ ในการชม
หลังจากนี้ไปจะเป็นการ dramaในแบบฉบับของผมล้วนๆ ผมเป็นอีกคนที่ค่อนข้างจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่

มันมีคำถามขึ้นมาในหัวว่า
"คนเหล่านี้เค้ามีพลังพิเศษจริงหรือจะเชื่อได้จริงมั้ย" 
"คนเหล่านี้เขาต้องการช่วยคนจริงหรือแค่เขียนหนังสือเพื่อหารายได้"
ไม่มีใครรู้นอกจากเจ้าตัวที่เขียนหนังสือนั้นแหละรู้ดี

Ok ... เรามาพูดกันต่อ กรรมคือ อะไร กรรมคือส่วนที่ต่อมาจากกิริยา ที่ต้องมีประธาน จริงจะเป็นประโยคที่สมบูรณ์ เอร้ย!!!! นี้มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษ...อันนี้มุข

กรรม มันก็คือผลที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำ ยกตัวอย่าง

  • กรรมเปรียบเสมือน หยดหมึกในแก้วน้ำ เมื่อมันหยดลงไปแล้ว ทำอย่างไรมันก็ไม่มีทางหายไปได้ มันแค่เจือจาง และมองเห็นได้.... 
  • หมายความว่า คนที่สามารถมองเห็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นได้มีจริงหรือไม่ ขอตอบว่ามีครับ , 
  • แต่ถ้าถามว่าคนที่สามารถแก้กรรมให้หมดไปมีจริงหรือไม่ ขอตอบว่าไม่มีครับ...
  • มันคงทำได้แค่ยื้อเวลา หรือทำให้สบายใจไปช่วงหนึ่งแต่ถึงอย่างไรคุณก็ต้องรับผลกรรมนั้นอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว


เรามาวิเคราะห์กันต่อเกี่ยวกับเรื่อง สแกนกรรม ในเชิงจิตวิทยา ... ทำไมหนังสือเหล่านี้ ถึงออกมามาก
ข้อแรก มันเป็นที่นิยมากหมู่ของบุคคลผู้ที่ไร้ที่พึ่งทางจิตใจ
ข้อสอง มันได้รับการโปรโมทจากสำนักพิมพ์ต่างๆเพื่อสร้างกระแส และสร้างยอดขาย

แล้วมันแสดงให้เห็นถึงอะไรในยุคนี้บ้าง
ผู้คนไม่ได้เกรงกลัวในการทำบาป แต่เกรงกลัวในผลของมัน...
เพราะถ้าเราได้ละอาย ต่อการกระทำผิด คิดก่อนกระทำ เราคงไม่มานั่งนึกถึงผลของมัน
เพราะคนเดี๋ยวนี้บางคนคิดว่าเอ่อ มันสแกนกรรม กันได้ ไม่เป็นไรหรอก...ก็เลยกระทำกรรมบางอย่างแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะ ปรี้ด !!!!!!. สแกนได้...มันจะละเอียดถึง 2000dpi รึเปล่าน้อ

ถึงเราเกรงกลัวต่อผลของบาป แต่เราเข้าวัดกันน้อยลง หรือเข้าไปเฉพาะตอนทุกข์หนักจริงๆ และคนในยุคนี้ก็เชื่อหมอดูมากกว่า คำสอนของพุทธองค์ จริงๆน่ะ...

เรามาคิดย้อนกลับในเชิงวิเคราะห์ จะเริ่ม scratch อย่างเป็นจังหวะ
ถ้าจะให้พูดกันตรงๆวัดทั่วไปนี้น่ะครับไม่มีเวลาเปิดหรือเวลาปิด คนส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าวัดจะอ้างว่า

  • ไม่มีเวลา (แต่นาฬิกาก็ใส่)
  • งานยุ่ง (แต่facebook ทั้งวัน)

บลาๆ...

ผมเคยวิเคราะห์ว่า (ในเขตบริเวณกรุงเทพ)
1.วัดบางแห่งไม่ได้อยู่ใกล้รถไฟฟ้า (ถึงติดสถานีก็ไม่เข้าเชื่อปล่าวล่ะ)
2.คนนิยมเดินห้าง หรือแหล่งจูงใจอย่างอื่นมากกว่า ใช่สิ วัดมันไม่จูงใจนิ

สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือสิ่งต่อไปนี้

เราไม่ต้องการจูงใจให้คนเข้าวัดมากขึ้นสักทีเดียว เพราะสิ่งที่เรามองเห็นคือ คนสมัยนี้มีความเครียดกันเยอะขึ้น และเลือกที่จะผ่อนคลายด้วยการเดินห้างดูหนังพอกพูนกิเลสให้หนากว่าเดิม เพราะเขาเหล่านั้นมองว่าการเข้าวัดเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย จะเป็นไปได้ไหม ถ้าจะมีใครสักคนทำ meditation center ไว้ในห้างสรรพสินค้า หรือกลางเมือง ให้คนเข้าไปนั่งสมาธิ นั่งผ่อนคลายทางจิต นั่งอ่านหนังสือมีที่สงบๆให้เขาได้พักจิตใจ คือมันไม่จำเป็นต้องเป็นวัด... เพราะว่าจะดูเหมือนเกิดการขัดแย้ง เอาวัดไปตั้งในดงกิเลส คนไทยจะ Drama กันมากมาย อ้างถึงความไม่เหมาะสม เพราะฉะนั้นมันอาจจะเป็นในรูปของเอกชน ที่ไม่ได้เกี่ยวของกับกิจของสงฆ์แบบต่างประเทศ ....​

ผลที่ตามมา เราคาดว่า เมื่อมีสถานที่แบบนี้เกิดขึ้น คนก็จะได้รับการขัดเกลาจิตใจมากขึ้น เมื่อความสบายใจเกิดขึ้น ใจบริสุทธิ์มากขึ้น กรรมชั่วก็จะก่อน้อยลง....ที่นี้เราก็คงไม่ต้องพึ่งการสแกน กรรมอีกต่อไป...

"ในขณะที่ทุกๆอย่างมันเร่งรีบเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว เราลองลดspeed ชีวิตให้ช้าลงดูบ้าง จะดีไหม เผื่อความสุขที่เราตามหาอาจจะอยู่ข้างๆกายเราโดยที่เราไม่ทันสังเกตุ"

Thursday, April 12, 2012

Review Fuji Finepix X-10



เราจะมา review Fuji finepix X10 กันแบบบ้านๆถึงแม้ว่ามันจะออกมาได้ระยะหนึ่งแล้วก็ตาม ในที่นี้ผมจะไม่พูดถึง spec ของกล้องตัวนี้น่ะครับเพราะมีคนรีวิว กันไว้เยอะแล้ว คงไปหาอ่านกันได้ไม่ยาก

โอเค เรามาเกริ่นนำกันก่อน Fuji X-series ตอนนี้มีด้วยกัน 3พี่น้องแล้วนั้น คือ 
X-100 สำหรับผู้มีอันจะกิน, 
X-10 สำหรับผู้มีฐานะปานกลาง และ 
X-1 pro สำหรับผู้ที่มีฐานะมั่งคั่ง


ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยใช้ DSLR มาก่อน หรือไม่เคยใช้ แต่มองหากล้องขนาดกะทัดรัดแต่คุณภาพดี x10 มันเป็นกล้องที่จบในตัวมันเอง ... ผมหมายถึง มันมีทุกอย่างมาให้คุณครับถ้วน เริ่มจากระยะซูม ที่เหมาะสมกับการไปถ่ายเล่น ท่องเที่ยวทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเลนส์ก็ได้ มีช่องมอง มีflash ตัวเล็กให้พร้อม มันมี function มาให้ แบบที่ DSLR มี เช่น โหมด  P, S, A, M และ EXR ในแบบเฉพาะของ Fuji อันนี้แหละใช่เลย... 

แรกสัมผัส ตัวกล้องทำมาจาก magnesium alloy ที่สำคัญ made in japan ด้วยเพราะฉะนั้น การันตีคุณภาพตัวกล้องได้ระดับนึงเลยทีเดียว รูปทรงคลาสสิคสวยงามแขวนแล้วหล่อแบบอนันดา...อะจึ้ย!!!
ใช้เลนส์แก้ว.. อะช๊ะปะเฮ้ย (ASPHERICAL Lens) ไม่ใช่พลาสติกก๋องแก๋ง
ตัวกล้อง บุลายเหมือนหนังรอบๆจับแล้วรู้สึกดี และฝาปิดเลนส์เป็น Metal Caps (กลัวทำหายมาก ครั้นจะไปหา Plastic caps ก็หายากซ่ะเหลือเกินเพราะ หน้าเลนส์กว้าง 40 mm.)

แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อด้อย เนื่องจากมันเป็นกล้องตัวเล็กๆ... ก็อย่าเพิ่งไปหวังมาก ว่ามันจะต้องเทียบเท่า DSLR ซ่ะทีเดียว (ผมเชื่อว่ามีหลายคนเคยนำไปเปรียบเทียบกับตัวใหญ่)...

สิ่งแรกที่นำผมมาหาเจ้า X10 คือ ผมอยากได้กล้องตัวเล็กๆที่มีช่องมองภาพ แต่น่าเสียดายที่เจ้า X10 มันดันเป็นแค่ Range finder กล่าวคือมันโฟกัสผ่านช่องมองภาพไม่ได้ คุณต้องโฟกัสผ่านหน้าจอแสดงผล เพราะ มันไม่ใช่ electronics viewfinder (EVF)แบบรุ่นพี่ X100 หรือ Xpro 1 (เนื่องจากผมติดการ focus มาจากล้อง DSLR ที่เป็นการมองภาพผ่านเลนส์โดยตรง)  คือคุณต้องเปิด auto focus ถ้าจะใช้ช่องมองภาพของกล้อง  ในช่องมองภาพจะเห็นแค่ประมาณ 85% ของรูปจริงๆ และเวลาใช้ ต้อง Turn off monitor ด้วยน่ะเดี๋ยวแสงจากหน้าจอมันจะแยงตาเอา พูดง่ายๆช่องมองภาพเหมือนถ่ายด้วยกล้อง Lomo นั้นแหละ...แต่ดีกว่า

เราจะมาพูดถึงประสบการณ์จากการใช้งานจริงๆ กับเจ้า Fuji X10


ถ่ายภาพต่อเนื่องแบบ 4 fps เวลาแสดงผล มันจะแสดงเป็น image sequence เล็กๆให้ดูด้วยน่ะ...

ภาพต่อเนื่องของ X10 สามารถปรับได้ตั้งแต่ 3-10 fps แต่ว่าถ้าถ่ายด้วยความเร็วที่ 10 fps แล้วขนาดของภาพจะถูกลดลงเหลือ 5M (ขนาดประมาณภาพจาก iPhone 4)
  
ถ่ายในบรรยากาศกลางคืน สภาพแสงน้อย ยังโฟกัสได้ดี จับภาพเคลื่อนไหวยังคมชัดอยู่ (และแน่นอนมันมี noise อยู่เล็กน้อย) ... ถ้าเป็นโหมดถ่ายวิดีโอ อาจจะมีหลุดโฟกัสไปบ้างบางช่วง หรือ เกิดอาการ แฟลช แบบว่า hertz rate ของหลอดไฟ มันต่ำพวกนี้ทำให้ภาพกระพริบชั่วขณะ แต่ก็สามารถกลับคืนได้ในเวลาอันสั้น 


ถ่าย macro ละลายฉากหลัง และ Bokeh


ตอนแรกเนี้ย ผมแค่มองหากล้องที่มันสามารถถ่าย macro ขนาด 1 ฟุตได้ก็พอใจแล้ว แต่เจ้า x 10 มีสิ่งที่เรียกว่า Super Macro คือ สามารถถ่ายใกล้วัตถุได้น้อยกว่า 1 CM . เป็นอะไรที่ผมชอบมากๆในความรู้สึกส่วนตัว เรียกว่าถ่ายกันแทบจะติดเลนส์กันเลยทีเดียว


ถึงแม้ว่า X10 จะไม่มี Shutter B (bulb) แต่ว่า สามารถเปิดชัตเตอร์ได้นานถึง 30" วินาทีเลยทีเดียว แต่ว่า Process รูปนานมาก ก็กล้องมันตัวเล็กนี้หน่า....
(อันนี้นิดนึง ผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบดัน ISO จึงตั้งกล้องไม่ให้มันปรับ ISO เกิน400  แต่ช่วง ISO ของเจ้า X-10 นี้สามารถปรับได้ตั้งแต่ ISO 100 - 12800 เลยทีเดียว)



และอีกโหมดที่ภูมิใจเสนอ Adv. panorama มันแตกต่างจากกล้องตัวอื่นตรงที่ว่า คุณสามารถกำหนดได้ว่าจะให้มันถ่าย 180 องศา หรือ 360 องศา pan ซ้าย หรือ ขวา  บน หรือ ล่าง แต่เวลาถ่ายพาโนราม่า ให้เคลื่อนกล้องช้าๆ แต่อย่าช้ามากหรือเร็วเกินไป ใช้ไปซักพักจะจับจังหวะถูก... และให้ระวังสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ เพราะจะทำให้เกิดภาพซ้อนได้..(มันซ้อนน่าเกลียดน่ะ)

(update) หลังจากที่ได้ลองใช้ x-10 ในโหมด ถ่ายวิดีโอก็รู้มาว่า มันสามารถถ่ายภาพไปพร้อมกันได้ ด้วยการกด ปุ่ม Menu/OK


เช็ค Perspective Dept of field กันหน่อย.... เห็น dynamic range กันมั้ย...

ย้ำกันอีกที x-10 เกือบจะอยู่ในหมวดของกล้อง hi-end compact ที่สูงกว่า compactทั่วไป เพราะด้วยวัสดุที่ทำให้มันสมราคา และมันเป็นกล้องตัวเล็กเพราะฉะนั้นอย่าไปคาดหวังว่ามันจะเทียบรัศมีตัว DSLR Pro ได้ ... และถ้าคุณเป็นคนที่ถ่ายรูปแค่ดูในจอคอมพิวเตอร์ หรือ อัดรูปขนาดไม่เกิน 10"x 12" แล้วเนี้ย แค่นี้ก็สุดยอดแระ
คุณภาพไฟล์ถือว่าเยี่ยม ขนาด 10 ล้านpixel สามารถถ่ายไฟล์ Raw ได้ด้วย..แต่ประมวลผลนานมาก

ตอนนี้ผมก็ยังคงตกหลุมรัก เจ้า X-10 แบบไปไหนไปด้วย พาไปทุกที่เฉพาะ เวลาถ่ายงานสินค้า งาน Product Shot เท่านั้นแหละที่ต้องใช้ พี่ใหญ่อย่าง Nikon ถ่าย

http://boou.multiply.com/

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------






Monday, April 9, 2012

My Draw something Time

If you play "Drawsomething" and meet me, this is my drawing ... If i have a free time... I have to draw like this

Saturday, March 31, 2012

กิจกรรม Business Networking ตอน “ท่องยุทธภพการ์ตูน – กราฟิก – อนิเมชั่น”

ผมเชื่อเสมอมาว่า การเป็นนักออกแบบที่ประสบความสำเร็จได้นั้น ความสามารถสูงอย่างเดียวคงไม่พอ หากไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดี

เริ่มต้นมาก็drama ซ่ะแล้ว 555
Ok เรามาเปิดยุทธภพ ของนักออกแบบกันต่อ
สืบเนื่องมาจากตัวข้านี้ได้สำเร็จวิชา photoshop หมื่นลี้ อร้าย!!!! ไม่ใช่ เนื่องจากว่าผมเป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าไปใช้งาน TCDC เป็นประจำ และ สัปดาห์นี้ได้มีการจัดงานขึ้นมางานหนึ่ง รายล่ะเอียดของงานก็คือ
"ร่วมชื่นชมผลงานสร้างสรรค์จากเหล่านักวาดการ์ตูน นักทำภาพประกอบ นักออกแบบคาแรกเตอร์และอนิเมชั่น ที่ร่วมเขย่ายุทธภพ “กราฟิกอนิเมชั่น” ในนิทรรศการขนาดย่อม (The Showcase)

กิจกรรม Business Networking ตอน “ท่องยุทธภพการ์ตูน – กราฟิก – อนิเมชั่น”
29 – 31 มีนาคม 2555
ณ โถงทางเข้า TCDC, ชั้น 6 ดิ เอ็มโพเรียม

ส่วนรายละเอียดเข้าไปดูได้ที่นี้
http://article.tcdcconnect.com/events/business-networking-2012-comic


เรามาต่อ เข้าเรื่อง พอผมเห็นปั้ปไม่ลังเล รีบไปค้นงานเก่าๆ ออกมาเตรียมส่ง ทางเจ้าหน้าที่บอกให้เราส่งงานเจ๋งๆเข้าไป พอเตรียมจะส่งเท่านั้น แย่แระ งานบางตัวเจ๋งมาก แต่เอาออกงานไม่ได้ เพราะดันมีลิขสิทธิ์ที่เราเคยเซ็นไว้ให้ต้นสังกัด โขกหัวตัวเองอีกสามที สุดท้ายก็เลือกงานสมัยเป็นนักเรียนส่งไปจนได้...แล้วทาง TCDC ก็ติดต่อกลับมาว่า เราได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมแสดง (กร้ากกก...ดีใจ แต่เก็บอาการ) พอถึงวันงานในวันศุกร์ สิ่งแรกที่ทำคือเดินดุ่ยๆเข้าไปหางาน ของตัวเอง "งานหนูอยู่ไหนหว่า..." หาไปพักใหญ่ๆเหมือนกันถึงจะเจอ เพราะถูกเลือกเป็นงาน animation พอเห็นงานตัวเองแล้วก็ "arhhh!!! Fin" งานสมัยเมื่อ 6 ปีก่อนของข้าเจ้าออกสู่สายตาชาวไทยแล้ว (ทำไว้นานมากกก) (ได้ออกรายการ แบไต๋ ไฮเทค ด้วย อิอิ)

เรามาเข้างานกันต่อ งานวันศุกร์ที่ผ่านมาจะเป็นการพูดคุยของวงการ platform toy (เหมือน kidsrobot หรือ munnie ทางฝั่งอเมริกา)
อืม วิทยากรทั้งหมด 4ท่าน ได้แก่ ("lucky that i understand Singaporean english larhhhh...." )
- Luk Chee Chew (CEO) เจ้าของผลงาน dweey หมาน้อย

- Lisa Lee (น่ารักมากมาย) กับงาน liselle

- Andy Heng blogger "toysrevil" เขานี้และครับที่ทำให้ผมกลับมาเขียน blog อีกรอบหลังจากไปกระจุกอนู่ในเฟสบุค อยู่นาน

- ณภัทร พรหมพฤกษ์ (CEO) กับงาน CE toys (ผมส่งเข้าประกวดเหมือนกันน่ะแต่ตกรอบ แง้ว)

วันนี้(วันเสาร์)ยังไปร่วมงาน ไปฟังยังทันน่ะครับ
ใครที่สามารถไปร่วมงานได้แนะนำให้ไปกันน่ะครับ ผมให้เหตุผลง่ายว่า
1. คุณไม่สามารถเจอวิทยากรเหล่านี้ได้ง่ายๆตามท้องถนน หรืออาจจะไม้มีโอกาสได้เจอเลย
2. ฟรี!!! ชัดมาก

นิทรรศการภายในงาน
เล่มต่อไปผมเป็นคนเขียนน่ะคร้าบ ตอนนี้กำลังตรวจ proof final อยู่ อิอิ....

Tuesday, March 13, 2012

Product shot (RAW)

ทดสอบไฟล์สำหรับถ่ายงานสินค้า ชิ้นขนาดที่ไม่ใหญ่มาก
Product shot for https://www.facebook.com/BouMonkeyShop

Tuesday, February 21, 2012

Saturday, February 11, 2012

หลักของศาสดา

เออ...พอย้อนมาดูการตลาด ของสองบริษัท เมื่อก่อน Sony พยามยามบังคับให้คนใช้ผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร ตั้งแต่ walkman> Wi-o > component> bravia> cyber shot> Play station> memory stick คุณต้องมีนี้โน้นนั้น แต่การสื่อสารของ sony ที่มีต่อผู้ใช้ ทำให้คนรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับ ผลที่ตามมาคือการต่อต้าน ผู้คนเบื่อหน่ายและต้องการหลุดพ้นจากอารยธรรม sony และทำให้ sony ล้มไม่เป็นท่า

ส่วน apple ใช้หลักการ ต้อนมาทีละนิด ประนีประนอม เริ่มจากตัว macที่ทำมาให้ designerใช้ พอ iphone ออกมา เขาไม่ได้บังคับว่า คุณต้องมี mac ถึงใช้ iphone ได้ apple ไม่ได้สร้างสิ่งใหม่ แต่เอาสิ่งเดิมที่มีอยู่มาย่อส่วน คนที่เคยใช้macอยู่ก่อนก็ไม่คิดอะไร เห็นหน้าตามันเหมือนกัน คงไม่ต้องไปเรียนรู้อะไรใหม่ก็ลองใช้ดู พอipad ออกมามันก็ใช้งานได้เหมือน mac คนก็คิดแค่ว่า เออดีขี้เกียจแบกคอม เอาเครื่ิองนี้ไปใช้แทนก็ได้ ก็ซื้อ ทำไปทำมากลายเป็นว่าซื้อแบบครบวงจร เป็นสาวกไปเลยแบบไม่รู้ตัว...พอคนที่เพิ่งหัดใช้ iphone เห็นคนกลุ่มนี้เค้ามีครบ ก็อยากได้บ้าง apple ไม่ได้ยัดเยียด คุณจะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ใช้ได้เหมือนกัน แต่คนอื่นเค้ามี...อ๊ะ กลายเป็นว่าคุณนั้นเองที่อยากมี พูดอย่างง่ายๆ คุณใช้แล้วมีความสุข คุณใช้เพราะมันประศูนย์กลางระหว่าง คุณ กับหลายๆอย่าง รู้แล้วใช่มั้ยว่าทำไม มันถูกเรียกว่า universal+....... BoUstudio

Friday, February 10, 2012

Artttttttttttt..........

ไอ้การจะเป็น ติ้ส เด็กอาร์ต หรือเด็กแนวเนี้ย มันต้องเป็นโดยสายเลือด เป็นโดนสัญชาติญาณ แบบ born to be มันจะเป็นธรรมชาติของที่สุด แต่พวกที่เป็นเพราะแฟชั่น ดาราดัง ดูแล้วเท่ห์ อยากให้คนมาสนใจ สาวๆเห็นแล้วกรี้ด แบบนั้นมันไม่ใช่ มัน Fake to be แบบนั้นมันจะเหนื่อย เพราะทุกอนุภาคนาโน รูขุมขนของคุณจะไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลย ฮีโมโกลบิน ของคุณมันไม่ใช่ อาร์ต... ติ้ส ที่แท้ ต้องกล้าทำงานเพื่อนส่วนรวม ถ้าคิดว่างานนั้นดีจะทำไปโดยไม่สนใจเสียด้านลบ รอบข้าง...แหม้!!!!!....ไม่ต้องกลัวหร๊อก ว่าจะไม่หล่่อ ไม่ต้องรักษาภาพพจน์....เพราะความงาม ที่แท้จริงมันอยู่ข้างในใจเปรียบเสมือนเพชรแท้ ที่รอวันเจิดจรัสฉายแสง เพชรแท้ยังไงก็เป็นเพชรแท้ แต่ถ้าเพชรปลอมเนี้ย มันก็เป็นแค่ สิ่งสังเคราะห์ที่ทำให้ดูเหมือนมีค่า โดนสารเคมีมากๆเดี๋ยวก็ดำ....(เสียงในฟิล์ม แบบอาจารย์ เฉลิมชัย)